กิจกรรมไหว้พระ๙วัดนั้นมีจัดกันมานานแล้ว เห็นผ่านตามามากมาย แต่ละแห่งที่จัดก็ดูน่าสนใจชวนให้ไปทั้งนั้น แต่ด้วยเวลาและวันหยุดที่ไม่สอดคล้องกัน ทำให้ไม่ได้ไปสักที แล้วในที่สุดผมก็ได้ไปไหว้พระครบ๙วัดในวันเดียวเมื่อวันอาทิตย์ที่๕มิถุนายน๒๔๖๓ที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งตรงกับวันอาสาฬหบูชาด้วย ที่ชอบมากเป็นพิเศษคือการเดินทางไปไหว้พระครั้งนี้เดินทางทางเรือ ไปวัดที่อยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา
เมื่อวันอาทิตย์มาถึง ผมออกเดินทางแต่เช้ามาที่จุดนัดหมายคือที่ท่าเรือโรงแรมริเวอร์ซิตี้ มาถึงก่อนเวลาเล็กน้อยก็เดินออกไปหาของกินรองท้องไปก่อน แล้วจึงไปลงทะเบียนและรับสติ๊กเกอร์เลขที่นั่ง ระหว่างนั่งรอเวลาที่ท่าเรือนั้นก็มีสมาชิกที่จะไปไหว้พระครั้งนี้ทะยอยมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทางผู้จัดงานกำหนดจำนวนสมาชิกไม่เกิน ๑๐๐คน(มาจริง ๘๐กว่าคน) และต้องระวังเรื่องsocial distancingด้วยเพราะเพิ่งผ่านวันที่ปลดล็อกระยะที่๓มาไม่กี่วันเอง

วันนี้อาจารย์เจริญ ตันมหาพราน ได้มาร่วมคณะกับพวกเราด้วย เมื่อถึงเวลา๘โมงตรงผู้จัดก็ประกาศให้สมาชิกลงเรือได้ ผมกังวลว่าจะต้องนั่งฝั่งขวาของเรือและต้องรับแดดไปตลอดทางเพราะก่อนหน้านี้ผู้จัดได้แจ้งตำแหน่งที่นั่งบนเรือมาให้ซึ่งไม่สนุกแน่ จะถ่ายรูปก็ย้อนแสง ตั้งใจว่าจะขอเปลี่ยนที่นั่งแต่ก็โชคดีที่เมื่อลงเรือจริงๆได้ที่นั่งฝั่งซ้ายของเรือ เพราะเมื่อเรือแล่นขึ้นไปทางต้นแม่น้ำในตอนเช้า ด้านที่นั่งอยู่นี้จะอยู่ทางทิศตะวันตกไม่โดนแดดเช้า ขากลับก็ไม่โดนแดดเย็น



ระหว่างที่เรือแล่นไปนั้น สังเกตุได้ว่าแม่น้ำเจ้าพระยาตอนนี้แลดูสะอาด ท้องน้ำดูสงบมาก ไม่วุ่นวายจอแจ สามารถทอดสายตาออกไปชมทิวทรรศน์ได้ไกลๆ เปรียบเทียบกับภาพเมื่อครั้งที่เคยเดินทางผ่านมาว่ามีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง พลันก็ได้ยินเสียงประกาศว่าใกล้จะวัดแรกตามกำหนดการแล้วคือวัดกัลยาณ์ (วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร)

ความทรงจำที่เกี่ยวกับวัดนี้ในอดีตก็ฉายภาพขึ้นมาทันที เมื่อผมเล็กๆพ่อผมมาอยู่กับย่าและป้าที่อยู่หลังวัดบ่อยๆ ภาพของทางเดินหล่อปูนซีเมนต์แคบๆพอเดินสวนกันได้ที่พาไปเกือบสุดทางที่บ้านนี้

ภาพของลานวัดที่ตอนนั้นกลาดเลื่อนไปด้วยหมาและขี้หมา ถ้าเดินไม่ดีอาจพลาดไปเหยียบได้ง่ายๆ ภาพของการที่ได้มากราบไหว้หลวงพ่อซำปอกง (หลวงพ่อโต-พระพุทธไตรรัตนนายก) ที่วันนี้ได้มีโอกาสมาอีกครั้งสมกับที่ไค้ตั้งใจไว้



ขึ้นจากเรือได้ก็รีบเดินไปที่วิหารทันที เพราะมีเวลาจำกัด เช้านี้มีผูมีจิตศรัทธามากราบไหว้หนาตาอยู่เหมือนกัน ได้กราบไหว้ขอพรหลวงพ่อโตเสร็จแล้วก็กลับมาลงเรือเพื่อไปวัดอรุณ (วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร) ซึ่งเป็นวัดที่สองของการเดินทางครั้งนี้ต่อไป

ผมมีโอกาสมามาที่วัดอรุณนี้หลายครั้ง แต่ละครั้งก็ดูไม่ทั่วสักที ครั้งนี้ก็เหมือนกันเหมือนว่ามีเวลาจำกัด จึงได้แต่เพียงไปกราบไหว้พระพุทธชัมพูนุช มหาบุรุษลักขณาอสีตยานุบพิตร ที่พระวิหารหลวง ซึ่งเป็นจังหวะที่พระหลายรูปกำลังลงโบสถ์สวนมนต์อยู่พอดี เมื่ออกมาข้างนอกก็เดินรอบพระปรางค์ก่อนที่จะลงเรือไปวัดที่สามต่อไป





วัดที่สามของวันนี้คือ วัดระฆัง(วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร)เมื่อก้าวขึ้นจากเรือไปบนท่าเรือของวัดก็จะพบกับทางเดินท่ทำเป็นสะพาน ปลายสะพานมีรูปปั้นทหารเรือยืนตรงอยู่ทางซ้ายหนึ่งนายและทางขวาหนึ่งนาย


พ้นจากตรงนี้ไปเป็นลานกว้างที่มีรูปหล่อเสมือนหลวงพ่อโต(สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี))ตั้งอยู่ตรงกลางลานที่ผมไม่เคยเห็นรูปหล่อขนาดใหญ่นี้มาก่อน เดินผ่านลานนี้ตรงไปที่พระอุโบสถ ตรงไปกราบไหว้หลวงพ่อยิ้มรับฟ้า(พระประธานยิ้มรับฟ้า)ท่ามกลางผู้มีจิตศรัทธาเนืองแน่นโดยเฉพาะที่รอเข้าแถวไปจุดธูปเทียนบูชาหลวงพ่อโตในวิหารทางซ้ายมืออย่างไม่ขาดสาย




ผมได้แต่ยืนไหว้หลวงพ่ออยู่ข้างนอกหลีกเลี่ยงที่จะเข้าไปเบียดกับคนอื่น เสร็จแล้วจึงเดินกลับออกมาถ่ายรูปบริเวณด้านนอก แดดเริ่มจัด อากาศก็ร้อนขึ้น

นี่เพิ่งผ่านไปสามวัดเอง ผมพยามหลบแดดเข้าหาที่ร่ม นั่งพักตรงศาลาท่าน้ำรออเรือมารับเพราะเรือเราไม่สามารถจอดรอที่ท่านี้ได้เนื่องจากมีเรืออื่นมาเทียบตลอดเวลา ต้องออกไปลอยลำข้างนอกท่า เมื่อได้เวลานัดหมายจึงจะเข้ามารับ
เรือออกจากท่าเรือวัดระฆังไปได้สักพัก ผู้จัดก็ทำการแจกของว่างซึ่งก็คือขนมและน้ำดื่ม ซึ่งก็ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะไปถึงท่าเรือวัดเทวราชกุญชร (วัดเทวราชกุญชรวรวิหาร)ซึ่งเป็นวัดที่สี่ของทริปนี้
ตรงท่าเรือของวัดมีผู้คนมาปล่อยปลากันหลายราย เข้าใจว่าที่นี่คงเป็นที่นิยมของผู้ที่ประสงค์จะทำการปล่อยปลา ผมเดินมาตามทางเดินแคบๆจากท่าเรือมุ่งตรงไปวัด ขณะเดินก็ต้องคอยหลบรถจักรยานยนต์ที่เข้าออกมาตามทางนี้ไปด้วย วัดนี้ผมเคยมาครั้งหนึ่งแล้วแต่ยังไม่เคยไปไหว้พระประธาน จึงตรงไปที่พระอุโบสถเพื่อกราบไหว้พระประธานคือพระพุทธเทวราชปฏิมากรก่อน
แล้วจึงแยกออกจากกลุ่มเดินไปที่มณฑปจัตุรมุขที่อยู่ด้านหน้าของวัด ไปกราบไหว้พระพุทธรูปโบราณที่มีอยู่หลายองค์รวมถึงหลวงพ่อดำ


ระหว่างทางที่เดินกลับไปท่าเรือก็ได้สักการะองค์เทวราชเนรมิต ก่อนที่จะเดินกลับไปที่ท่าเรือ ที่ท่าเรือนี้สามารถมองเห็นสะพานพระราม๘ได้อย่างชัดเจน


จากวัดเทวราชกุญชรไปวัดที่ห้าคือวัดเฉลิมพระเกียรตินั้นใช้เวลานานและพอดีใกล้เที่ยง ดังนั้นเมื่อเรืออกจากท่าผู้จัดก็ประกาศให้ไปรับอาหารกลางวันที่จัดเตรียมไว้ให้ทางท้ายเรือมาทานก่อน กับข้าวเป็นข้าวสวยให้เลือกราดผัดผักรวม พะแนงหมู ลาบไก่ และไข่พะโล้ จะราดทุกอย่างหรืออย่างที่ชอบก็ได้ ถ้าไม่อิ่มก็สามารถไปเติมได้ ผู้จัดจัดมาให้อย่างมาก กับข้าวนี่เหลือไปถึงตอนเย็นให้สมาชิกที่หิวมาทานได้อีกรอบหนึ่ง บางคนก็ขอใส่ถุงกลับบ้านก็มี
ไกลสุดทางน้ำที่ผมเคยมาก็แถวสะพานพระราม๘ ดังนั้นจากวัดเทวราชกุญชรขึ้นไปผมจึงไม่คุ้นเคยกับวิวสองฝั่งแม่น้ำ รู้สึกว่าแม่น้ำกว้างขึ้น อาคารบ้านเรือนก็น้อยลงและอยู่ห่างกันมากขึ้น จึงใช้เวลานี้พักสายตาไปก่อน
เสียงผู้จัดประกาศให้เตรียมตัวเพราะใกล้ถึงวัดเฉลิมพระเกียรติแล้ว ทำให้ต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ยังรู้สึกเหนื่อยจากอากาศร้อนกับที่เดินขึ้นเดินลงท่าเรือ บิดตัวนิดหน่อยแล้วก็สะพายเป้คู่ยากไปรอที่ท้ายเรือ
จำได้ว่าเคยมาที่วัดเฉลิมพระเกียรติ (วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร)มานานแล้ว เมื่อครั้งที่เตรียมจัดงาน NHC World Convention ของ HONDA ที่ประเทศไทย มีกำหนดการพาสมาชิกล่องแม่น้ำเจ้าพระยา มาจนถึงวัดเฉลิมพระเกียรติแห่งนี้
รีบเดินไปที่พระอุโบสถเพื่อกราบไหว้พระประธานคือพระพุทธมหาโลกาภินันทปฏิมา แล้วก็ออกเดินกลับมาทางเดิม ไม่ได้แวะเวียนไปดูที่อื่นเลยเนื่องจากต้องทำเวลา เพราะยังเหลืออีกสี่วัด

ขณะเดินกลับเหลือบไปเห็นรถขายไอศกรีมจอดอยู่ เลยแวะไปซื้อมาดับร้อนเสียหนึ่งถ้วย แต่กลับทำให้หิวน้ำขึ้นมาอีก ผ่านมาวัดนี้เป็นวัดที่ห้าผมเสียเหงื่อไปเยอะ ตัวเปียกไปหมด ผ้าขนหนูผืนเล็กเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งผืน เหนื่อยก็เหนื่อย แต่ก็อยากไปให้ครบทุกวัด จึงต้องปรับตัวโดยไปตามจุดที่นัดหมาย ส่วนจุดที่อยากดูเก็บไว้ในใจก่อน คราวหน้าวางแผนมาเองจะได้ดูอย่างที่ตั้งใจ
เรือออกจากท่ามุ่งหน้าไปวัดที่หกคือวัดปรมัยยิกาวาส อยู่ที่เกาะเกร็ด เคยมาที่เกาะเกร็ดแต่มาทางรถยนต์แล้วลงเรือข้ามฝากมา ขากลับยังแบกโอ่งดินเผาเอาไปปลูกบัวกลับด้วย

เรือที่นั่งมาพาอ้อมไปดูเจดีย์เอียง(พระเจดีย์มุเตา)ก่อนที่จะเทียบท่า ตอนนี้น้ำลงมากทำให้โป๊ะเทียบเรืออยู่ต่ำลงมามาก ทางลาดขึ้นไปจึงชันมากต้องจับราวให้มั่นๆขณะก้าวขึ้นไป เดินไปตามทางจนเชื่อมกับทางเดินของเกาะ ตรงไปที่วัดปรมัยยิกาวาส กราบพระประธานแล้วก็ตามอาจารย์เจริญ ตันมหาพรานเดินอ้อมไปด้านหลังพระประธานไปดูที่บรรจุพระอังคารใต้ฐานพระประธาน

ออกจากวัดปรมัยยิกาวาสมาแล้วก็ใช้ทางเดินหน้าวัดเดินต่อไปอีกด้านหนึ่งของเกาะเกร็ดวัดไผ่ล้อมซึ่งเป็นวัดที่เจ็ดของรายการวันนี้ แม้ว่าเพิ่งจะปลดล็อคมาได้ไม่กี่วัน เกาะเกร็ดวันนี้มีผู้คนเยอะมากแต่ก็สวมใส่หน้ากากกันแทบทุกคน ผมเดินดูของกินระหว่างทางเพลินไปจนลืมเหนื่อย หลบคนหลบรถจักรยานไปสักพักก็ถึงวัดไผ่ล้อม ก็ตรงไปกราบไหว้พระประธานเสียก่อนแล้วก็ออกมานั่งพักรอสมาชิกในเรือ


เมื่อสมาชิกมากันครบเรือก็ออกมุ่งหน้าไปยังวัดที่แปดคือวัดใหญ่สว่างอารมณ์ นอกจากกราบไหว้พระประธานแล้วก็ยังมีพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งที่เชื่อกันว่าให้คุณทางด้านมั่งมีคือหลวงพ่อแสนล้าน


วัดที่เก้าคือวัดวิมุตติยาราม เป็นวัดสุดท้ายแล้ว เมื่อไปถึงทางวัดซึ่งรอคณะของเราอยู่แล้ว ก็เชื้อเชิญให้ขึ้นไปบนพระอุโบสถ เมื่อขึ้นมาครบแล้วก็ทำพิธีถวายเทียนพรรษาที่ทางผู้จัดได้จัดเตรียมมาด้วยแล้ว



หลังจากนั้นก็ให้สมาชิกเวียนเทียนรอบพระอุโบสถก่อนที่จะลงเรือกลับกัน



วันนี้ได้ไหว้พระครบ๙วัดดังที่ได้ตั้งใจไว้ แม้ว่าอากาศจะร้อนจนเสื้อชุ่มไปด้วยเหงื่อตลอดการเดินทาง ได้ทบทวนความทรงจำเก่าๆกับได้รับความรู้ใหม่ๆเพิ่มอีกด้วย
7 July 2020
Be First to Comment