วันที่สองนี่เริ่มลงทะเบียนแต่เช้าที่วัดอรุณฯ
สำหรับท่านที่ยังไม่ได้อ่านวันแรก –>สุขกลางใจ ใกล้แค่เอื้อม-วันที่หนึ่ง
ผมก็ใช้เส้นทางเดิมเหมือนเมื่อวาน โดยขึ้นที่ท่าเตียนแล้วนั่งเรือข้ามฝากจากท่าเตียนไปวัดอรุณฯ

มาถึงแต่เช้าทำให้มีเวลาถ่ายรูปจุดต่างๆได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาอยู่ในเฟรม แสงก็เป็นใจก็เลยเก็บหลายภาพ


สักพักก็เริ่มร้อนจึงหาที่นั่งพักซึ่งใกล้ๆที่นั่งนั้นมีพนักงานกำลังกวาดพื้นอยู่ แกเห็นพวกเราสะพายกล้องกันทุกคนก็เข้าใจว่าเป็นช่างภาพ จึงมาพูดคุยกับพวกเราว่าโชคดีนะที่ได้มาเห็นช่วงที่พระปรางค์กำลังรับการซ่อมแซมอยู่ เพราะภาพอย่างนี้อีกสิบกว่าปีจึงจะมีสักครั้ง

แต่สำหรับคนชอบถ่ายรูปก็คาดหวังว่าจะได้เห็นพระปรางค์สวยๆเพื่อจะบันทึกภาพไว้ พอมาเห็นพระปรางค์ที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยนั่งร้านเหล็กตั้งแต่พื้นจนถึงยอด บดบังความสวยงามไปหมด ก็ทำให้รู้สึกผิดหวัง แต่ถ้าเอาคำพูดของพนักงานกวาดพื้นเมื่อครู่นี้มาคิด เราก็น่าจะถ่ายรูปพระปรางค์ในสภาพนี้ไว้เป็นภาพประวัติศาสตร์เพราะจากนี้ไปจะไม่มีภาพเช่นนี้อีก 10-15ปี
คำพูดเมื่อสักครู่ ทำให้ผมมาคิดต่อว่า จริงๆแล้วสิ่งที่เป็นอยู่มันก็เป็นอย่างนั้น อยู่ที่ว่าเราจะมองให้มันเป็นอย่างไรเท่านั้นเอง ก็ต้องขอบคุณที่เข้ามาให้ข้อคิด
เมื่อถึงเวลานัดหมายก็มารวมตัวกันแล้วก็มีการจัดแบ่งกลุ่มกันอีกที จากนั้นก็เดินไปยังพระราชวังเดิมที่ตั้งอยู่ใกล้ๆนี่เอง
ปกติแล้วการจะเข้ามาชมภายในพระราชวังเดิมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทางอสท.ได้ประสานมาก่อนจึงได้รับความสะดวกอย่างมาก แต่เขาก็ขอให้ถ่ายรูปเฉพาะด้านนอกอาคารเท่านั้น และห้ามถ่ายเจาะจงเฉพาะอาคาร ห้ามถ่ายในอาคาร เพราะที่นี่คือกองบัญชาการกองทัพเรือ ซึ่งพวกเราก็ให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดี

ผมมัวแต่ไปสนใจของเก่าที่เขาเก็บไว้ จึงไม่ค่อยได้ฟังรายละเอียดได้มากนัก แต่ก็ประทับใจที่เขายังดูแลรักษาให้อาคารเก่าแก่อายุหลายร้อยปียังคงสภาพดีอยู่ และคงจะเป็นเช่นนี้ไปอีกนาน

ประเด็นสำคัญที่ผู้นำชมพยามเน้นกับพวกเราก็คือตำแหน่งที่เรายืนอยู่นี้ เป็นตำแหน่งเดียวกันกับที่พระเจ้าตากสินทรงใช้เป็นที่ว่าราชการในอดีต จากนั้นก็พาเราไปชมศาลพระเจ้าตากสิน ในอาคารติดๆกันก็เป็นที่เก็บอาวุธที่ใช้ในสมัยโบราณ และข้าวของเครื่องใช้ที่ค้าขายกันในสมัยนั้น

จากนั้นเราก็เดินต่อไปยังส่วนที่เป็นป้อมวิชัยประสิทธิ์ ผมได้รู้ว่าที่ฝั่งตรงข้ามเป็นป้อมวิชัยประสิทธิ์ฝากตะวันออก สมัยโบราณเขาจะขึงโซ่ระหว่างป้อมขวางแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อกันเรือที่จะรุกล้ำเข้าผ่านเข้าไปยังอยุธยา ได้เห็นปืนใหญ่โบราณ และปืนสมัยใหม่ที่ทางทหารเรือใช้ยิงสลุตในพระราชพิธีสำคัญต่างๆเช่นวันเฉลิมพระชนม์พรรษาของในหลวงและพระราชินี ส่วนเสาธงนั้นจะชักธงสองผืน ผืนหนึ่งคือธงของผู้บัญชาการทหารเรือ และอีกผืนหนึ่งคือธงราชนาวีไทย

ออกจากพระราชวังเดิมก็ไปรวมตัวกันอุดหนุนร้านขายเครื่องดื่มเย็นๆ เพราะอากาศร้อนมาก เสร็จแล้วก็ไปฟังคำอธิบายประวัติวัดอรุณอย่างย่อ แล้วก็พักทานข้าวเที่ยงกันตรงศาลาท่าน้ำของวัด ก่อนที่จะเดินเท้าไปยังพิพิทธภัณฑ์ศิริราช ตรงนี้สมาชิกแบ่งออกเป็นหลายๆกลุ่ม มีทั้งไปทางวัดระฆัง วังหลัง บ้างก็ข้ามฟากมาเดินจากท่าเตียนไปท่าช้างแล้วข้ามฟากกลับมาอีกทีก็มี บ้างก็ใช้รถสาธารณะ จุดนัดพบคือหน้าพิพิธภัณฑ์ศิริราช

เดินเท้าไปก็เช็ดเหงื่อไปตลอดทางเพราะวันนี้แดดดีมาก นึกเบาใจหน่อยที่วันนี้ไม่ได้แบกขาตั้งกล้องมาด้วย แต่ก็ยังรู้สึกว่าเป้มันหนักคิดในใจว่ากลับไปต้องหาทางจัดใหม่ให้เบากว่านี้
เดินทางไปพิพิธภัณฑ์ไม่ยากเลย เราไปถึงก่อนเวลานัดก็เลยเข้าไปนั่งตากแอร์เพื่อลดความร้อนและพักเหนื่อยในสวนอาหารรอจนใกล้เวลานัดจึงค่อยออกมา
อยากบอกว่าในพิพิธภัณฑ์นั้นน่าสนใจมาก ไม่ว่าจะเป็นประวัติความเป็นมาของโรงพยาบาลศิริราช หรือตำแหน่งที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ที่เดิมคือสถานีรถไฟธนบุรีมาก่อน คราวหน้าจะมาดูนานๆเลย

สถานที่สุดท้ายของวันนี้คืออู่เรือพระราชพิธี ซึ่งต้องเดินจากพิพิธภัณฑ์ออกมาทางถนนใหญ่ผ่านวัดอมรินทรารามวรวิหาร เลี้ยวขวาข้ามสะพานข้ามคลองบางกอกน้อย บนสะพานมองลงไปจะเห็นกองเรือเล็ก ขส.ทร.อยู่ข้างล่าง ที่นี่แหละทีเรากำลังจะไปดูกัน

ที่นี่จะเก็บเรือที่ใช้ในพระราชพิธี แต่ผมมัวแต่ถ่ายรูป ไม่ได้ฟังคำอธิบายเลยไม่สามารถเล่ารายละเอียดให้ฟังได้
ถ่ายรูปสักพักก็กลับเพราะพรุ่งนี้ก็นัดแต่เช้าอีก วันนี้เหนื่อแทบจะหมดแรงแล้ว เหงื่อออกจนตัวเปียกแล้วก็แห้งหลายรอบ ผ้าเช็ดหน้ายังเปียกอยู่พกใส่กระเป๋าพลอยทำให้กระเป๋ากางเกงเปียกไปด้วย
เมื่อคิดว่าจะต้องเดินทางกลับโดยใช้เส้นทางเดินตอนที่มาที่นี่กลับไปโรงพยาบาลศิริราชเพื่อไปลงเรือที่ท่าวังหลังแล้วก็ขาแทบหมดแรง แต่ก็พยายามแข็งใจมาถึงจนท่าเรือจนได้
#อสทtotheregion #เล่าเรื่องเล่าภาพบันดาลใจ #สุขกลางใจใกล้แค่เอื้อม
17 September 16
[…] Previous Post สุขกลางใจ ใกล้แค่เอื้อม-วันที่สอง […]